คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC ) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ลงมติอย่างเป็น เอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.5% - 0.75 % แต่ย้ำถึงความคาดหมายที่ว่าเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ยังจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้มติในวันพุธ ที่ 14 ธันวาคม 2016 เป็นการปรับขึ้นจากระดับเดิม 0.25 % - 0.5 % ในการปรับขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 และถือเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบทศวรรษ ถ้อยแถลงของ FOMC ระบุว่า สิ่งบ่งชี้อัตราดอกเบี้ยยังคงค่อนข้างต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2.0 %ของธนาคารกลาง “จากระดับเงินเฟ้อปัจจุบันที่ยังไม่ถึง 2 % ทางคณะกรรมการจะจับตากระบวนการที่มุ่งหน้าสู่ระดับเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างระมัดระวังตามความเป็นจริง” ในการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่เฟดประมาณการว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปี 2017 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.4 % ในช่วงสิ้นปีหน้า จากนั้นในช่วงปลายปี 2018 อัตราดอกเบี้ยน่าจะอยู่ราวๆ 2.1 %อย่างไรก็ตาม คาดหมายว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังไม่ถึงระดับเป้าหมาย 2.0 % จนถึงปี 2018 แต่จะพลาดเป้าเล็กน้อยในปีหน้า ขณะที่ตัวเลขคนว่างงานน่าจะทรงตัวอยู่ราวๆ 4.5 % ไปตลอดปี 2019 จากระดับปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 4.6 % นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงว่า การตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คือ การลงมติแสดงความเชื่อมั่นต่อสถานะทางเศรษฐกิจของอเมริกา เธอเน้นว่าการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลรีพับลิกันของว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่ชี้แนะว่ายังเร็วเกินไปที่จะคาดเดาในเวลานี้ ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์คาดหมายว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น หากมาตรการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและลดภาษีกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง อย่างไรก็ตามคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินมีความเห็นแตกแยกมาตลอดทั้งปี เกี่ยวกับกรอบเวลาในการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบสอง ด้วยบางคนกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่มันอาจคุกคามอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ส่วนใหญ่มองว่ามีความเสี่ยงใหญ่หลวงว่ามันจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯหากปรับขึ้นเร็วเกินไป โดยเฉพาะท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ในนั้นรวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและการโหวตแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจัก คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจยังคงอยู่ในอัตราปานกลางมาตั้งแต่กลางปี พร้อมด้วย การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคธุรกิจในโรงงานใหม่ๆ ยังอ่อนแอ ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 15 ธันวาคม 2559 04:49 น |
บทความ >